นักบุญคือใคร
"นักบุญ"
ก็คือคนธรรมดาสามัญที่เกิดมาบนโลกนี้อย่างเราๆ
แต่เนื่องจากระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ท่านได้ดำเนินชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อในพระศาสนาอย่างสมบูรณ์
ด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว
พระศาสนจักรก็ได้ยกย่องสดุดีคุณงามความดีต่างๆ
ที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ โดยถือว่าเป็นชีวิตคริสตชนตัวอย่างที่เราสามารถเลียนแบบได้
และถือว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เราสามารถเคารพ
นับถือ และสวดวิงวอนขอพรจากพระเจ้าผ่านท่านได้
เพราะเชื่อว่าท่านมีชีวิตนิรันดรอยู่ร่วมกับพระคริสตเจ้าในสวรรค์แล้วนั่นเอง
ประวัติความเป็นมาของคำว่า
"นักบุญ" เป็นอย่างไร
ในพระธรรมเก่านั้น
คำว่า "นักบุญ" หมายถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะประทานความศักดิ์สิทธิ์ให้
พอมาในสมัยพระธรรมใหม่ "นักบุญ" หมายถึงคริสตชนทุก
ๆ คน (เพราะเชื่อว่าพระคริสตเจ้าได้เกิดมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ได้กลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์)
ต่อมาใน 6 ศตวรรษแรก ๆ ของพระศาสนจักรนั้น คำ
ๆ นี้กลับกลายเป็นตำแหน่งอย่างหนึ่งสำหรับเรียกผู้ที่ได้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อของตน
สาเหตุก็เพราะว่าในสมัยนั้นคริสตศาสนายังถูกเบียดเบียนและข่มเหงอยู่มาก
บรรดาคริสตชนหลายต่อหลายคนได้ถูกจับไปประหารชีวิตเพราะเป็นคริสตชนหรือไม่ยอมทิ้งศาสนา
บางคนถูกตรึงกางเขน ถูกเผาทั้งเป็น ถูกต้มในกะทะน้ำมันเดือดๆ
หรือถูกปล่อยให้สิงโตกินในสนามกีฬากลางแจ้งของชาวโรมันที่เรียกว่า
"โคลีเซียม" และอีกมากมายหลายวิธี
ในสมัยนั้นเมื่อมีคนใดคนหนึ่งตายเพื่อยืนยันความเชื่อแล้ว
พวกคริสตชนจะพยายามเก็บศพนั้นไว้อย่างดี บางทีก็ต้องนำไปฝังในที่ลับ
เช่น กาตากอม หรืออุโมงค์ใต้ดิน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนที่กำลังเบียดเบียนมาทำลายหรือลบหลู่ดูหมิ่นนั่นเอง
ต่อมาเมื่อคริสตศาสนาได้รับการยอมรับ และกลายเป็นศาสนาประจำชาติโรมัน
การเบียดเบียนจึงลดลง คราวนี้คนที่จะพลีชีพเพื่อศาสนาก็มีจำนวนลดน้อยถอยตามไปด้วย
จึงมีคนคิดว่า การเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญนั้น
ไม่จำเป็นจะต้องตายเพื่อศาสนาเสมอไป แต่การมีชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อและดำเนินไปตามพระบัญญัติ
ด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ ก็น่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญได้ด้วย
ตั้งแต่นั้นมาการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มขยับขยายออกไปยังคริสตชนอื่นๆ
ที่เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ยึดมั่นในพระธรรมคำสอนและปฏิบัติคุณงามความดีอย่างเคร่งครัด
และซื่อสัตย์เพราะเห็นแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ซึ่งก็มีมากมายหลายคน และแต่ละคนต่างก็มีความดีเด่นแตกต่างกันไป
บางคนเด่นในการบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ บางคนเด่นในการเผยแผ่พระศาสนา
บางคนเด่นในด้านการมีความรอบรู้ในพระสัจธรรมหรือเป็นนักปราชญ์
และบางคนก็เด่นในด้านมีเมตตาจิต อุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์
ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้รับยกย่องว่าเป็น "ธรรมสักขี"
(Confessors)
วิวัฒนาการการแต่งตั้งนักบุญเป็นมาอย่างไร
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า
เมื่อมีการขยายการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์
จากบุคคลที่พลีชีพเพื่อศาสนาอย่างเดียว มาเป็นบุคคลที่ปฏิบัติคุณงามความดีตามพระธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัดนั้น
ก็ได้ทำให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย
โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 6-10 ประกอบกับสมัยนั้นยังไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเกี่ยวกับการแต่งตั้งใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญ
วิธีที่ใช้ในขณะนั้น ก็คือ การดูจากจำนวนคนที่เคารพนับถือและศรัทธา
จำนวนคนที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพ และได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งการตัดสินแบบนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดข่าวลือหรือการโจษจันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ
ๆ
ดังนั้นทางพระศาสนจักรจึงได้คิดว่าน่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนขึ้นว่า
บุคคลใดควรอยู่ในข่ายได้รับการยกย่อ งเทิดทูนอย่างแท้จริง
จึงได้ตั้งกฎเกณฑ์และระเบียบการแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญขึ้น
ซึ่งก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ โดยในระยะแรก ๆ
การจะอนุมัติให้เคารพคนนั้นคนนี้ในฐานะที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น
ขึ้นอยู่กับพระสังฆราชหรือประมุขคริสตชนท้องถิ่นนั้นๆ
แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 12 การอนุมัติเรื่องนี้ต้องขึ้นกับพระสันตะปาปาแต่เพียงองค์เดียว
วิวัฒนาการของการดำเนินการประกาศแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญ
นับวันก็มีระเบียบกฎเกณฑ์ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1642 สมเด็จพระสันตะปาปาอูบาโนที่
8 จึงได้ออกสมณกฤษฎีกาว่าด้วยกฎเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการแต่งตั้งนักบุญขึ้น
ชื่อว่า "Decreta servanda in canonizatione
et beatificatione sanctorum" ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสัน
ตะปาปาปีโอที่ 10 ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม
จนกระทั่งล่าสุด ในปี ค.ศ.1930 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่
11 จึงได้ทรงโปรดให้มีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันได้มีสมณกระทรวงว่าด้วยการประกาศแต่งตั้งนักบุญโดยเฉพาะ
ซึ่งก็แยกส่วนออกมาจากสมณกระทรวงพิธีกรรมตั้งแต่ปี
ค.ศ.1969 ทั้งนี้เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับคำร้องและพิธีการดำเนินการประกาศแต่งตั้งนักบุญทั่วพระศาสนจักรสากลโดยตรงนั่นเอง
ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ
|