นักบุญเอลีซาเบธและเศคาริยาห์

ระลึกถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน

เรื่องราวของท่านทั้งสองปรากฏอยู่ในพระวรสารบทแรกของนักบุญลูกา ซึ่งกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านทั้งสองไว้อย่างย่อ ๆ ว่า “เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเจ้า ไม่มีที่ติเลย” นางเอลีซาเบ็ธเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระนางมารีย์ เป็นผู้มีบุญที่บุตรในครรภ์ของนางจะเป็นผู้นำหน้าพระเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อในระดับมนุษย์ ที่จะมีบุตรหลังจากเป็นหมันมาจนอายุเข้าวัยชรา

ในบทเพลงถวายพระพร “Benedietus” ของเศคาริยาห์ เป็นการทำนายครั้งสุดท้ายในพระธรรมเก่า และเป็นครั้งแรกในพระธรรมใหม่ เป็นการถวายพระพรแด่พระเจ้าที่ทรงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษถึงการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ เป็นกิจการแห่งการไถ่กู้ด้วยวิธีแบบเงียบ ๆ ในความเงียบและการภาวนาในบ้านของพระนางมารีย์ที่นาซาเร็ธ แต่ที่เมืองเอ็นคาริม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเยรูซาเล็มเท่าใดนัก ที่ซึ่งเอลีซาเบ็ธและเศคาริยาห์ผู้เฒ่าทั้งสองกำลังรอคอยการเกิดมาของผู้ที่นำหน้าพระเยซูเจ้า

ที่นี่เองที่นางเอลีซาเบธได้พบกับพระนางมารีย์ พรหมจารี นางเอลีซาเบธซึ่งเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้า “ได้กล่าวทักทายญาติของท่าน” ซึ่งคำทักทายของนางนั้น คริสตชนได้นำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของบท “วันทามารีอา” คือ “ผู้มีบุญกว่าหญิงใด ๆ และโอรสของท่านทรงบุญนักหนา”

หลังจากการเกิดมาของยอห์น บุตรชาย เศคาริยาห์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้แทนในการเตรียมทางให้กับพระผู้ไถ่ ให้วิญญาณทั้งหลายเตรียมรับการไถ่กู้ ท่านนักบุญทั้งสองก็สลายไปในร่มเงา สลายไปดังเช่นแสงนวลแห่งพระจันทร์ ในแสงอันเจิดจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของพระคริสตเจ้า ตามการเล่าต่อมาว่า ในไม่ช้าบุตรของท่านก็ได้ประกาศว่า “จำเป็นที่พระองค์ (พระคริสต์) ต้องเจริญขึ้นและข้าพเจ้าถอยลงไป”

ข้อมูลจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ