คัธรินนอนอยู่ในห้องใหญ่รวมกับซิสเตอร์อื่นๆ
อีกหลายคน เธอกำลังคิดว่า "คนอื่นจะได้ยินเสียง และรู้ว่าฉันทำอะไร
"
แต่เด็กน้อยนั้นล่วงรู้ความคิดของเธอ จึงรีบตอบว่า "ไม่ต้องกลัวครับ
ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ทุกคนหลับหมดแล้ว ผมจะไปด้วย" เมื่อได้ยินดังนั้น
คัธรินจะปฏิเสธคำเชิญก็ไม่ได้ จึงรีบสวมเสื้อ แล้วเดินตามเด็ก ซึ่งเดินข้างซ้ายมือเธอเสมอ
ขณะนั้นไฟสว่างไหวทั่วไปหมด
คัธรินแปลกใจมาก และยิ่งประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อประตูโบสถ์เปิดออกทันทีที่เด็กเอามือไปถูกเท่านั้น
ภายในโบสถ์น้อยประจำอารามมีไฟสว่างไสวเช่นเดียวกัน ทำให้เธอคิดถึงมิสซาเที่ยงคืนวันพระคริสตสมภพ
คัธรินเดินไปจนถึงโต๊ะรับศีลมหาสนิทจึงคุกเข่าลงภาวนา คัธรินรู้สึกเวลายาวนานมาก
ที่สุดประมาณเที่ยงคืน เด็กก็มาบอกว่า "นี่แม่พระครับ! นี่แหละแม่พระ!
"
ขณะเดียวกันคัธรินก็ได้ยินเสียงเบาๆ
อย่างชัดเจนข้างพระแท่นด้านที่อ่านบทจดหมาย
เป็นเสียงคล้ายกับเสียงเสื้อแพรเสียดสีกันเบาๆ
ไม่ช้า สตรีคนหนึ่งสวยหยดย้อย ก็มานั่งที่ตรงสักการสถาน ซิสเตอร์คัธรินมิได้คิดอะไรอื่น
นอกจากทำตามที่หัวใจบอก วิ่งไปกราบลงที่เท้า แล้วเอามือวางลงบนเข่าของแม่พระ
คัธรินเล่าว่า "ขณะนั้น ฉันรู้สึกระทึกตื่นเต้น หวานซึ้งจับใจที่สุดในชีวิตอย่างที่มิอาจจะอธิบายได้
ฉันบอกไม่ถูกว่าอยู่กับแม่พระนานเท่าไร
เท่าที่ฉันรู้ก็คือ เมื่อพูดกับฉันเป็นเวลานานแล้วแม่พระก็จากไป
หายไปเหมือนกับเงาที่ลับไป" เมื่อลุกขึ้นแล้ว ซิสเตอร์คัธรินก็กลับมาพบเด็กตรงที่เธอผละวิ่งไปหาแม่พระ
เด็กพูดกับเธอว่า "แม่พระไปแล้ว!" แล้วก็เปลี่ยนมาอยู่ข้างซ้ายมือของเธอ
พากลับไปแบบเดียวกับที่ได้พามา
คัธรินเล่าต่อไปว่า
"ฉันเชื่อว่า เด็กคนนี้เป็นอารักขเทวดาของฉัน เพราะฉันได้ภาวนาขอท่านช่วยให้ฉันมีบุญได้เห็นแม่พระ
เมื่อกลับมาถึงเตียงแล้ว ฉันได้ยินเสียงนาฬิกาตี 2
ฉันไม่ได้หลับอีกเลย!
"
ต่อมาวันที่
27 พฤศจิกายน 1830 เวลาเย็น 5 โมงครึ่ง ขณะที่กำลังรำพึงอยู่เงียบๆ ซิสเตอร์คัธรินได้เห็นแม่พระประจักษ์มาอีกเป็นครั้งที่
2 ครั้งนี้แม่พระประจักษ์มาในลักษณะเท้าเหยียบลูกกลมๆ ลูกหนึ่ง และมือที่อยู่ระดับอกถือลูกกลมๆ
แต่เล็กกว่าอีกลูกหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนแม่พระยื่นถวายแด่พระเยซูเจ้าด้วยกริยาการวิงวอน
ทันใดนั้นนิ้วของแม่พระเต็มไปด้วยแหวนและเพชรพลอยที่งดงามยิ่ง แสงที่พวยพุ่งออกมา
สะท้อนกลับไปทุกทิศทุกทางรอบแม่พระ จนมองไม่เห็นเท้าและเสื้อยาวของพระนาง
ขณะที่ซิสเตอร์กำลังเพ่งดูอยู่ แม่พระลดสายตาลงมาดุเธอ แล้วมีเสียงหนึ่งบอกในใจของเธอว่า
"ลูกกลมที่เธอเห็นนี้ หมายถึงโลกทั้งโลก และแต่ละคนโดยเฉพาะ"
แล้วแม่พระกล่าวเสริมว่า "นี่เป็นสัญลักษณ์ หมายถึง พระหรรษทานต่างๆ
ซึ่งแม่จ่ายแจกแก่ผู้ที่ขอ"
บัดดลนั้นเอง
ได้เกิดมีภาพเป็นวงกลมรีเหมือนไข่รอบตัวแม่พระ และบนภาพนั้นมีข้อความเขียนเป็นอักษรทองว่า
"ข้าแต่พระแม่มารีย์ ผู้ปฏิสนธินิรมล โปรดภาวนาเพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายที่มาขอพึ่งท่านด้วยเทอญ"
มิช้ามือของแม่พระ ซึ่งเต็มไปด้วย พระหรรษทาน ซึ่งแสงรังสีเป็นเครื่องหมายถึง
ก็ลดลงและผายออก ด้วยกิริยาอาการที่สวยงดงาม (ชมภาพที่แสดงอยู่ในเหรียญ)
แล้วมีเสียงหนึ่งกล่าวว่า
"บอกให้เขาทำเหรียญอันหนึ่งตามแบบนี้ ผู้ที่จะมีเหรียญดังกล่าวติดตัว
โดยห้อยไว้ที่คอเป็นต้น จะได้รับพระหรรษทานใหญ่หลวง ผู้ที่มีความเชื่อจะได้รับพระหรรษทานมากมาย"
ทันใดนั้น ภาพดังกล่าวดูเหมือนพลิกกลับ
คัธรินเห็นอักษร M ทางซีกหลังของภาพ
ข้างบนตัว M มีไม้กางเขนตั้งอยู่บนท่อนไม้ และข้างใต้มีหัวใจ 2 ดวง ดวงหนึ่งมีหนามล้อมรอบ
อีกดวงหนึ่งมีดาบแทงทะลุ (โปรดดูภาพเหรียญมหัศจรรย์)
สองปีหลังจากแม่พระประจักษ์
เหรียญดังกล่าวก็ได้รับการจัดทำขึ้น โดยอนุมัติจากพระคุณเจ้าเดอเกเลน พระอัครสังฆราชแห่งกรุงปารีส
ตั้งแต่นั้นมาเหรียญนี้ก็แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมกับเกิดปาฏิหาริย์มิรู้หยุด
คือให้ความคุ้มครอง, ทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และทำให้คนบาปกลับใจ
พฤติการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้
เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก และในสังคมทุกชั้น จึงทำให้เหรียญดังกล่าวได้ชื่อว่า
"เหรียญอัศจรรย์"
ซิสเตอร์คัธรินลาบูเร
ได้รับการประกาศบันทึกนามในสารบบนักบุญ เมื่อ 27 กรกฎาคม 1947 , กำหนดฉลองในวันที่
28 พฤศจิกายน
ส่วนการฉลองพระแม่เจ้าแห่งเหรียญอัศจรรย์ เป็นวันที่ 27
พฤศจิกายน
Our
Lady of the Miraculous Medal
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา
