วันที่
8 หลังจากการฉลองพระคริสตสมภพ ( 25 ธันวาคม ) เราคริสตชนทำการฉลอง พระนางมารีย์
พระชนนีพระเจ้า แต่ว่า วจนพิธีกรรมในวันฉลองวันนี้แทนที่จะเน้นที่ พระนางมารีอา
กลับไปเน้นที่ พระบุตรของพระนางและพระนามของพระบุตร
นักบุญเปาโลได้ย้ำถึงผลงานของการช่วยให้รอดที่ได้สำเร็จลงในองค์พระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งพระนางมารีอาเองก็ได้มีส่วนอยู่ด้วย เพราะว่าเป็นพระนางเองที่พระบุตรพระเป็นเจ้า
สามารถเสด็จลงมาในโลกนี้ในฐานที่ทรงเป็นมนุษย์จริง ๆ คนหนึ่ง ส่วนพระวรสารของวันนี้ได้จบลงด้วยการตั้งพระนาม
เยซู ให้กับพระผู้เพิ่งได้บังเกิดมา ในขณะที่พระนางมารีย์ทรงมีส่วนร่วมในรหัสธรรมของพระบุตรพระเป็นเจ้าองค์นี่อย่างเงียบๆ
แม้ว่า
วจนพิธีกรรมในการฉลองในวันนี้จะมุ่งความสนใจไปหา องค์พระบุตร แต่ก็มิได้ทำให้บทบาทของผู้ที่เป็น
พระชนนีพระเจ้า ด้อยลงไปแต่อย่างใด การที่พระนางมารีย์เป็นพระชนนีพระเจ้าจริง
ๆ ก็เพราะความสัมพันธ์ที่พระนางมีต่อพระบุตรอย่างแนบแน่นนั่นเอง ดังนั้น
ยิ่งเราคริสตชนจะให้ความคารวะต่อพระนางเพียงใด พระบุตรก็ยิ่งจะได้รับการถวายพระเกียรติมากขึ้นเท่านั้น
การที่เราเรียกพระนางมารีย์ว่าเป็นพระชนนีพระเจ้า
เป็นการแสดงให้เห็นถึงภาระหน้าที่ที่พระนางมีในประวัติศาสตร์แห่งความรอด
และจากข้อเท็จจริงประการนี้แหละ ที่เป็นที่มาของความศรัทธาภักดีชนิดต่างๆ
ที่บรรดาคริสตชนมีต่อพระนางมารีย์ เพราะว่าพระนางได้รับพระคุณมากมายจากพระเป็นเจ้ามิใช่สำหรับพระนางแต่เพียงผู้เดียว
แต่ว่าเพื่อจะนำพระคุณ เหล่านั้นไปให้กับมวลมนุษย์อีกทอดหนึ่ง
พระชนนีพระเจ้าและพระมารดาของมนุษยชาติ
พระนาม
เยซู อันมีความหมายว่า พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ได้ช่วยนำเราให้เข้าสู่ธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
คือ จากการรับเอากายในครรภ์ของพระมารดา โดยเดชะพระจิต จนถึงการบังเกิด
การเข้าพิธีสุหนัต และไปสิ้นสุดที่รหัสธรรมปาสกาคือที่การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ
พระเยซูเจ้าจึงเป็นพระพรที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้า เป็นพระพรของการช่วยให้รอด
และเป็นสันติภาพสำหรับมนุษย์ทุกคน
พวกเราได้รับการช่วยให้รอดในพระนามของพระองค์
(กจ. 2:21; รม.10:10,13) แต่ว่าการช่วย ให้รอดนี้ได้มาสู่มวลมนุษย์โดยผ่านทางพระนางมารีย์
และพระนางได้แบ่งปันพระคุณนี้ให้กับประชากรของพระเจ้า ดังเช่นที่เมื่อครั้งหนึ่งพระนางได้ให้กับพวกคนเลี้ยงแกะ
พระนางมารีอาได้ให้ชีวิตมนุษย์แก่พระบุตรพระเจ้า และได้แบ่งปันชีวิตพระให้กับมนุษย์สืบมา
ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงได้รับการคารวะให้เป็นพระมารดาของมนุษย์ทุกคนซึ่งพระนางได้กำเนิดชีวิตพระให้
เช่นเดียวกับบรรดาคริสตศาสนิกชนทั้งหลาย
พวกเราให้ความคารวะแด่พระนางมารีย์พรหมจารี ผู้ซึ่งพระสังคายนา ณ เมืองเอเฟซัส
ได้ประกาศอย่างสง่าว่า พระนางทรงเป็นพระชนนีของพระเจ้าเพราะพระคริสตเจ้าได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นบุตรพระเจ้าและเป็นมนุษย์ด้วย
(UR 15)
ในพระนามของพระนางมารีย์
พระชนนีพระเจ้าและมารดาของปวงมนุษย์ ที่ทั่วโลกทำการฉลอง วันแห่งสันติภาพ
ในวันนี้เป็นสันติภาพที่พระนางได้ค้นพบในความรักต่อองค์พระเจ้า เป็นสันติภาพที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้กับมนุษย์ทุกคนที่มีความเชื่อในพลังแห่งความรัก
สันติภาพในความหมายของพระคัมภีร์คือ
พระคุณสุดวิเศษของพระแมสซียาห์ซึ่งหมายถึงการช่วยให้รอดที่พระเยซูเจ้าได้นำมาให้
และการที่เราได้คืนดีและมีสันติกับพระเจ้า นอกนั้นสันติภาพยังเป็นค่านิยมสูงส่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องพยายามช่วยกันสร้างสรรขึ้นมาให้ได้
เป็นต้นในระดับนานาชาติ
ความเชื่อในพระคริสตเจ้า
สันติภาพระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และสันติภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เป็นภาระหน้าที่ที่คริสตชนทั้งหลายจะต้องมีบทบาทอย่างเต็มที่เสียก่อน
เพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะก่อให้เกิดสันติภาพในโลก โดยทั่วๆไป
สันติภาพของพระคริสตเจ้ามิได้แตกต่างอะไรไปจากสันติภาพที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาอยากได้
จึงควรที่เราทุกคนจะได้อุทิศชีวิตเพื่อจะได้มาซึ่งสันติภาพดังกล่าวนี้
พระศาสนจักรไม่เคยหยุดที่จะให้ความสนใจถึงความจำเป็น
ที่เราทุกคนจะต้องมีส่วนช่วยกันสร้างสันติภาพที่แท้จริง สันติภาพที่แท้จริงนี้ต้องตั้งอยู่บนความจริง
ความยุติธรรม ความรัก และเสรีภาพ ซึ่ง เปรียบเสมือนเสาหลัก 4 ต้นของบ้านแห่งสันติภาพ
ที่เปิดกว้างต้อนรับทุกๆคน (พระสันตะปาปายอห์น ที่ 23, 11-4-1963)
ต้องยุติสงครามและการสร้างอาวุธ
พระสันตะปาปาปอล
ที่ 6 ได้กล่าวไว้ในโอกาสเสด็จไปที่องค์การ สหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์ค
ว่า ...จะต้องหยุดการต่อสู้หักล้างกันเสียที...พฤติกรรมเช่นนี้จะต้องไม่มีอีกต่อไป...
และด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวสหประชาชาติจึงได้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาสำหรับยุติสงครามและสร้างสันติภาพขึ้นแทน
พวกเรายังคงจำคำพูดของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยอห์น เอฟ เคนาดี้
ได้ ที่กล่าวว่า มนุษยชาติจะต้องยุติสงครามให้ได้ หรือจะให้สงครามยุติพวกเรา
ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมายสำหรับประกาศเป้าหมายอันสูงส่งของสถาบันแห่งนี้
(=สหประชาชาติ) ให้เราเพียงแต่คิดถึงหยาดเลือดของมนุษย์จำนวนนับล้านๆ และความทุกข์ทรมานอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่มักจะเงียบหายเข้าไปในกลีบเมฆ
รวมทั้งซากปรักหักพังต่างๆ ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้พยายามที่จะช่วยสร้างสรรสันติภาพ
และกำลังหาหนทางที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอนาคตของโลกให้จงได้ คือ จงยุติสงครามเสียเถิด
สันติภาพจะต้องคอยนำโชคชะตาของปวงชนและมนุษยชาติทั้งหมด
ถ้าพวกท่านต้องการเป็นพี่น้องกันก็จงปลดอาวุธเสีย เราไม่สามารถรักกันได้โดยที่ยังมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ
(สุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ 4 ตุลาคม 1995)
บทอ่านที่
1 บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี
กดว 6:22-27
พระเป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า
จงบอกอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาว่า ท่านทั้งหลายจงอวยพรแก่บุตรหลานอิสราเอลว่าดังนี้
ขอพระเจ้าอวยพรแก่ท่าน
และปกปักรักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงกระทำให้พระพักตร์ของพระองค์ส่องสว่างแก่ท่าน
และทรงพระกรุณาต่อท่าน ขอพระองค์ทอดพระเนตรเหนือท่าน และประทานสันติสุขแก่ท่าน
เขาจะเรียกขานนามของเราลงเหนือบุตรหลานอิสราเอลดังนี้แหละ
และเราจะอวยพรแก่พวกเขา
พี่น้อง
เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าจะทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง
เกิ ดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม
ข้อพิสูจน์ว่าพวกท่านเป็นบุตรก็คือ พระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา
พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า อับบาพ่อจ๋า ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป
แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า
บทอ่านจาก
พระวรสารนักบุญลูกา
ลก 2:16-21
ขณะนั้น
พวกเลี้ยงแกะพากันรีบไปยังเมืองเบธเลเฮม พบพระนางมารีย์ โยเซฟ และกุมารซึ่งนอนอ
ยู่ในรางหญ้า เมื่อผู้เลี้ยงแกะได้เห็น ก็ได้เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับกุมารนี้
ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่อง ที่คนเลี้ยงแกะได้เล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ได้เก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ได้
และคิดคำนึงอยู่ในใจ คนเลี้ยงแกะได้กลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้า
ในเรื่องต่างๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้
เมื่อครบกำหนดแปดวัน
ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องเข้าสุหนัต เขาตั้งชื่อพระองค์ว่า เยซู อันเป็นนาม
ที่ทูตสวรรค์ได้ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา
การเปิดดวงใจของพระแม่มารีอา
ในการน้อมรับแผนการณ์แห่งความรอดของพระเป็นเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ทำให้เราทุกคนมีบุญได้รับความรักจากพระเป็นเจ้า
ทางพระบุตรของพระองค์ที่ทรงมาบังเกิด มารับเอากายร่วมธรรมชาติมนุษย์กับเรา
โดยทางพระเยซูเจ้าเราได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเป็นเจ้า เราจึงสามารถเรียกพระเป็นเจ้าเป็นพ่อของเรา
และพระบิดาทรงเรียกชื่อเราแต่ละคนและอวยพรเรา
ข้อมูลจากเวปไซด์สังฆมณฑลนครราชสีมา
|