วันที่ 18 มกราคม พระนางพรหมจารีกลับมาอีก
และกล่าวกับหนูน้อยถึงน้ำพุแห่งหนึ่ง
วันที่ 19 มกราคม มารีแอ็ต ถามว่า "พระนางคือผู้ใด?"
คำตอบคือ "ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" และอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับน้ำพุที่กล่าวถึงในวันก่อนก็ได้รับคำตอบว่า
"น้ำพุนี้มีไว้สำหรับทุกชาติ
เพื่อบรรเทาผู้เจ็บป่วย"
วันที่ 20 แม่พระทรงขอให้สร้างวัดน้อยขึ้นหลังหนึ่ง..จากนั้นการประจักษ์ก็หยุดไป
จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ หนูมารีแอ็ตรู้สึกผิดหวังบ้าง
แต่ทุกค่ำไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไร เธอจะสวดสายประคำรออยู่ จนถึงวันนั้น
ตรงกับวันครบรอบปีที่ 75 แห่งประจักษ์ของแม่พระครั้งแรกที่เมืองลูร์ด การประจักษ์จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
และครั้งนี้ พระนางทรงกล่าวแก่มารีแอ็ตว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก"
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พระนางพรหมจารีทรงบอกความลับข้อหนึ่งแก่มารีแอ็ต
"หนูจะต้องไม่บอกเรื่องนี้แก่ใครเลย แม้แต่กับคุณพ่อหรือคุณแม่
"
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ แม่พระทรงแนะให้มารีแอ็ตสวดภาวนามากๆ
และในวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้าย
พระนางทรงยืนยันกับเธอว่า
"ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า, จงสวดภาวนามากๆ ลาก่อนนะ"
สภาพเรียบๆ ที่ไม่มีพิธีรีตองในการประจักษ์ที่บันเนอ ชวนชาวเราให้คิดถึงสภาพที่นาซาแร็ธ
ซึ่งพระนางพรหมจารีเจริญชีวิตเป็นคนยากจน ท่ามกลางพวกคนยากจน
แต่ครั้งนี้พระนางประจักษ์มาในยุคที่คนจนไม่อยากยอมรับสภาพของตน และต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง,
พระนางเสด็จมาในขณะที่ชนหมู่มากกำลังถูกฉุดลากไปสู่สิ่งที่ผิด และเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เข้าไปหานั้น
คือยาบำบัดความทุกข์ของพวกตนในการยึดถือลัทธิการปฏิวัติ พระนางประจักษ์ที่บันเนอ
เพื่อเตือนให้เราทราบว่า พระนางแต่ผู้เดียว สามารถขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากต่างๆ
ได้ เพราะพระนางทรงเป็นคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานทั้งหลาย พระนางทรงประกาศว่า
"ฉันคือพระนางพรหมจารีของคนยากจน" แล้วตรัสต่อไปว่า "ฉันมาเพื่อปัดเป่าความทุกข์ร้อน"
และที่สุดในการประจักษ์ครั้งสุดท้าย พระนางทรงเตือนให้ระลึกว่า
"พระนางคือ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่มีสิทธิแจกจ่ายขุมทรัพย์สวรรค์แก่ชาวเราทั้งหลาย
โดยทรงกล่าวว่า "ฉันคือมารดาพระผู้ไถ่, มารดาพระเจ้า จงสวดภาวนามากๆ
เถิด"
พระสังฆราชแห่งเมืองลีเอช ประกาศรับรองการประจักษ์นี้ เมื่อ วันที่ 19
มีนาคม 1942