อยากให้แม่เข้าใจ

แม่ค่ะหนูสอบได้ที่ 1 คะ” เด็กสาวตัวเล็กวิ่งเข้ามาบอกแม่ด้วยเสียงหน้ายิ้มแย้ม
“เก่งมากเลยจ๊ะ น้ำนี่ทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะ สมเป็นลูกแม่กับพ่อเลย”
หญิงมีอายุผู้เป็นแม่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน “งั้นวันนี้เราก็มีข่าวดี 2 เรื่องเลยสิ ยังงี้ต้องฉลอง”
เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังประตูด้านใน
น้ำหันไปมองอย่างสงสัย “อะไรคะ พ่อ” น้ำเดินเข้าไปหาชายผู้เป็นพ่อ “หนูกำลังจะมีน้องไง”
น้ำได้ฟังข่าวดียังตื่นเต้นวิ่งกลับมาหาแม่แล้วกระโดดโลดเต้นอย่างมีควา มสุข


ผ่านไป 10 ปี…ขณะนี้น้ำอยู่ ม.6 แล้ว ส่วนนัทน้องชายอยู่ ม.2
พ่อของน้ำและนัทได้จากไปแล้วด้วยอุบัติเหตุทำให้แม่ต้องรับดูแลทั้งสองด้วยความยากลำบาก แต่ทั้งสองก็ยังทำให้แม่ภูมิใจในด้านการเรียนและวันนี้เป็นวันประกาศผลสอบของทั้งสอง
“เป็นไงบ้างจ๊ะ” แม่ถามเมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน
“ผมได้ 4.00 ครับ” นัทบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แม่ก็ยิ้มให้แล้วก็หันไปทางน้ำ ซึ่งน้ำทำท่าไม่อยากพูด “เท่าไรจ๊ะ” แม่ถามย้ำอีกที “3.49 คะ”
น้ำก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าแม่ “เรียนยังไงเนี่ยน้ำ เกรดถึงลดอย่างนี้ ลูกทำให้แม่ผิดหวังมากเลยนะรู้หรือเปล่า วัน ๆ
มัวแต่เล่นไม่ยอมดูหนังสือเป็นยังไงละ ดูอย่างน้องบ้างสิไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังซักครั้งเดียวเลย
ลูกนี้แย่จริง ๆ กลับบ้านไปเข้าห้องไปเลยนะ เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว”
เสียงที่ออกมาด้วยอารมณ์โกธรของแม่ ทำให้น้ำถึงกับน้ำตาซึม นัทก็ยังมองพี่สาวด้วยสายตาเยาะเย้ย
เมื่อกลับถึงบ้าน น้ำก็เข้าห้องตามที่แม่บอกนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องที่มืดมิดจนกระทั่งหลับไป


วันหนึ่งทางโรงเรียนก็ได้ส่งใบเลือกเรียนคณะในมหาวิทยาลัยมาให้
“น้ำ ลูกต้องเลือกแพทย์รู้ไหม จะได้มาช่วยเหลือแม่ได้”
น้ำฟังด้วยสีหน้ากลุ้ม ๆ “แต่หนูคิดว่าหนูเรียนไม่ไหวคะแม่ และหนูก็ไม่ชอบด้วย”
น้ำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ
“อะไรกัน จะทำให้แม่ดีใจซักอย่างไม่ได้เหรอไง ตอนม.ต้นก็เหมือนกัน บอกให้เรียนสายวิทย์ก็ยังจะเถียงว่าไปเรียนสายศิลป์
ที่นี่จะมาเถียงอีกเหรอไง” แม่ตวาดออกมากด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แต่หนูก็เรียนสายวิทย์อย่างที่แม่ต้องการนี่คะ” น้ำพูดออกอย่างน้อยใจ
“ไม่ต้องมาเถียงเลย แม่เป็นคนจ่ายเงินให้เรียน ถ้าไม่เลือกเรียนตามที่บอกแกก็ไม่ต้องเรียน”
แม่พูดจบก็เดินออกไปจากห้องของน้ำ น้ำก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่รู้ว่าควรทำอะไร
ในตอนเย็นทั้งสามกำลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
“แม่ครับ ผมอยากได้คอมเครื่องใหม่” นัทบอกออกมาระหว่างทานอาหาร
“ได้สิจ๊ะลูก คนที่เรียนดีทำให้แม่ภูมิใจไม่ได้มาทำให้แม่ผิดหวังอยากได้อะไรแม่ก็ให้ได้”
แม่พูดขึ้นพร้อมปรายตามองลูกสาวด้วยความขุ่นเคือง
น้ำก็นั่งทานอย่างเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง น้ำก็นั่งเล่นเน็ตเพื่อหวังจะคลายเครียดบ้าง
นัทก็เข้ามาในห้อง “เข้ามาทำไม” น้ำถาม “ผมขอยืมนาฬิกาปลุกหน่อยสิ”
น้ำก็หยิบให้ นัทเมื่อได้ของ ก็กำลังจะเดินออกพอดีสายตาหันไปเห็นกองผ้าที่อยู่บนเตียง พี่สาว
“ได้ของก็ออกไปสิ” น้ำบอกเมื่อเห็นว่าน้องชายยังไม่ออก “อะไรเหรอพี่”
น้ำหันมาดูสิ่งที่นัทถาม “อ้อ ผ้าห่มนะพี่จะถักให้แม่ในวันเกิดปีนี้ ตัวนี้พี่ถักมาตั้งแต่ ม.4 น่ะ”
น้ำเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงวันที่กำลังจะมาถึง
“เหอะ ลำบากจะตาย ทำไมไม่ซื้อแบบสำเร็จล่ะนั่งถักอยู่ได้” นัทบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก
“นายไม่รู้หรอกว่าการที่มอบของให้ใครสักคนหนึ่งด้วยฝีมือที่ทำด้วยคนเอง มันรู้สึกยังไง
ไป ๆๆ ออกไปได้แล้ว” น้ำดันตัวนัทออกจากนอกห้องแล้วปิดประตู
จากนั้นก็หันมามองผ้าห่มที่ถักเกือบเสร็จด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความรั กแล้วก็หันไปเล่นคอมต่ออย่างมีความสุข

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่น้ำกำลังนั่งถักผ้าห่มที่จะมอบให้แม่ในอีกไม่กี่วันนี้อยู่ในห้อง
ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรง แม่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์แย่สุด
“นี่มันอะไรกัน” กระดาษบางอย่างลอยมากระทบหน้าน้ำเต็ม ๆ
“อะไรคะ” น้ำถามอย่างตกใจ
“ดูเอาสิ ผลงานตัวเองนี่ ไม่ได้คิดถึงเงินแม่เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงโมโหสุด ๆ
น้ำก็หยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรายจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือของแม ซึ่งแพงมากเกือบหมื่น
“โห ทำไมแพงอย่างนี้” น้ำอุทานออกมา
“ยังจะมาถามอีก” น้ำพอรู้ว่าแม่มาว่าเรื่องอะไร
“ไม่ใช่หนู” น้ำพยายามจะเถียง
“ก็เดือนนี้ เอามือถือของแม่ไปใช้ทั้งเดือนแล้วยังจะว่าไม่ใช่อีกเหรอ”
น้ำก็ส่ายหัว “แต่นัทเขาขอยืมต่อไป ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วนี่คะ”
น้ำพยายามบอกความจริงกับแม่ แต่ในตอนนี้คงไม่มีอะไรหยุดยั้งอารมณ์โกธรได้อีกแล้ว
“นี่อะไรยังจะมาโทษน้องอีกเหรอ ทำไมเป็นคนแบบนี้”
พูดจบมือก็ตวัดออกไปอย่างรวดเร็ว น้ำจับแก้มของตัวเองที่แดง
“แต่หนูเปล่านี่คะ” น้ำตาเริ่มไหลรินออกมา ไม่ใช่เพราะเจ็บที่แก้ม แต่เจ็บที่ใจมากกว่า เพราะแม่ยังไม่เคยตบหน้าน้ำมาก่อน
“ไม่ต้องมาเถียงเลย แกมันทำตัวเลว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำไม่ดีไปหมด แล้วยังจะมาโยนความผิดให้น้องอีก
วัน ๆ มัวแต่ทำอะไรเนี่ย งานเนี่ยทำไปทำไม”
แม่กระชากผ้าห่มมาจากมือน้ำแล้วฉีกทิ้งอย่างไม่ใยดี จากนั้นก็ปาใส่หน้าน้ำ แล้วเดินออกไปด้วยความโมโห
น้ำก็ร้องไห้อย่างไม่หยุด ถึงอยากจะหยุดแต่น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียแล้ว


ในเช้ารุ่งขึ้นน้ำและนัทได้มานั่งรอทานอาหารที่โต๊ะ แม่ก็เดินเข้ามา
“นัทกินไปก่อนเถอะลูกแม่ทานไม่ลง” แม่ทำท่าจะเดินออกไป
น้ำก็ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องหรอกคะแม่ เดี๋ยวหนูไปเอง”
น้ำรู้ดีว่าตนเข้าหน้าแม่ไม่ติดเพราะเรื่องค่าโทรศัพท์จึงเดินออกจากบ้านไปด้วยหัวใจที่เก็บความทุกข์มากมายเอาไว้
“มีอะไรกันเหรอครับ” นัทถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่คนที่ไม่รู้จักกตัญญู ทั้งที่รู้ว่าเราไม่ค่อยรวยแต่ก็ยังใช้เงินเกินตัว
แถมยังมาโทษน้องตัวเองได้ลงคอ” แม่พูดออกมาอย่าโมโห
“พี่น้ำเขาโทษอะไรผมเหรอครับ” นัทถามอย่างโกรธ ๆเมื่อรู้ว่ามีการกล่าวถึงตนด้วย
“ก็เค้าโทษว่าลูกเป็นคนใช้โทรศัพท์ของเดือนที่แล้ว” แม่บอก
“อ้อ ครับ เดือนที่แล้วผมไปขอมือถือแม่จากพี่เค้ามาใช้เอง ทำไมเหรอครับ มันแพงมากเลยเหรอ” นัทถามออกมาอย่างซื่อ ๆ
แม่ก็ชะงักเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “เพล้ง!!!”
ทั้งสองหันไปมองรูปน้ำตอนสมัยเด็ก ๆ ร่วงลงมาแตก


“อ๊อดดดดดด” เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น
นัทวิ่งออกไปดูแล้วรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ “แม่ครับตำรวจมา”
ทั้งสองออกไปพบตำรวจพร้อม ๆ กัน
“มีอะไรเหรอคะ” แม่ถามด้วยน้ำเสียงกังวลเพราะรู้สึกไม่สบายใจ
“คุณเป็นญาติกับนางสาวน้ำทิพย์หรือเปล่าครับ”
หัวใจของหญิงสาวกระตุกขึ้นมา “คะ ดิฉันเป็นแม่ของเขา” น้ำเสียงที่บอกถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติ
“ผมคงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ
คือลูกคุณถูกรถชนเสียชีวิตเมื่อกี้นี้ครับ ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล ผมขอตัวก่อนนะครับ” ตำรวจเดินจากไป
“ไม่จริง นัทแม่หูฝาดไปใช่ไหมลูก แม่หูฝาดไปใช่ไหม”
เสียงที่สั่นดังขึ้นพร้อมกับเขย่าตัวลูกชายที่ยืนนิ่ง ๆ
“ ไม่ครับ หูแม่ไม่ฝาดหรอกครับ” นัทบอกด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างไปจากแม่เลย
ที่โรงพยาบาลแม่กอดศพของน้ำพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลออกมาจนจะไม่มีอีกแล้ว ถ้าหลั่งเลือดต่อออกมาได้ก็คงหลั่งออกมา
“น้ำ แม่ขอโทษ แม่รู้ว่าแม่ผิดที่ไม่ฟังหนู น้ำตื่นขึ้นมาสิลูก ลูกอยากจะเรียนอะไรก็เรียนไปเลย แม่ไม่ว่าหรอกลูก อยากได้อะไรแม่ก็จะให้ ขอเพียงลูกตื่นขึ้นมา น้ำฟื้นขึ้นมาสิลูก น้ำลูกแม่”
ร่างที่นอนไร้วิญญาณถูกเขย่าจนบุรุษพยาบาลต้องจับตัวออกมา นัทก็ได้แต่นั่งเศร้าพูดอะไรไม่ออกอยู่ด้านนอก

หลังจากเสร็จงานศพแม่ได้แต่นั่งเหม่อคิดถึงลูกสาวอยู่ในห้องของน้ำ
นัทก็เดินเข้ามาหา “แม่ครับทานข้าวเถอะครับ แม่ไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้วนะครับ” นัทเดินมานั่งข้างๆ แม่ แต่แม่ก็ยังคงนั่งเฉย
นัทก็เงยหน้าขึ้นไปบนตู้หนังสือของน้ำก็เห็นสมุดเล่มหนึ่งแตกต่างจากเล่มอื่น จึงลุกขึ้นหยิบมาดูก็พบว่าเป็นไดอารี่ของพี่สาวตน
นัทจึงยื่นให้แม่ แม่จึงเปิดอ่านอย่างเศร้าใจ

‘พ่อค่ะแม่ค่ะวันนี้หูดีใจจังเลยจะได้มีน้องกับเขาแล้ว…วันนี้พ่อกับแม่ ชมหนูอีกแล้ว…เย้
น้องเกิดแล้วหนูดีใจจังที่แม่ยอมให้หนูตั้งชื่อว่าน้องว่านัท…วันนี้น้องนัททำข้าวหกแม่เลยดุหนู
แต่หนูก็รักแม่คะ…พ่อเสียแล้วเพราะอุบัติเหตุ ทำไมหนูถึงรู้สึกหดหู่ยังนี้คะ แต่ก็คงจะสู้แม่ไม่ได้หรอก
หนูรู้ว่าแม่เสียใจกว่าหนูมากมาย หนูสงสารแม่จังคะ…วันนี้หนูทำให้แม่ยิ้มได้หลังจากที่พ่อเสียไป
หนูมีความสุขน่ะที่เห็นรอยยิ้มของแม่…เย้ วันนี้ขึ้นม.ต้นวันแรก สนุกจังเลย
หนูหวังว่าหนูจะเรียนให้แม่ภูมิใจได้นะคะ…แม่คะหนูรู้ว่าหนูผิดที่เรียนตก แต่หนูก็พยายามแล้วนะคะ
หนูขอโทษคะที่หนูทำให้แม่ผิดหวัง แม่จะว่าหนูยังไง แต่หนูก็รักแม่คะ…ใกล้ถึงวันเกิดแม่แล้วหนูจะมอบผ้าห่ม เป็นของขวัญให้แม่นะคะ
หนูถักเองเลยตั้งแต่ม.4 ปีนี้ก็เสร็จแล้ว หนูจะได้มอบให้แม่แล้ว…แม่คะหนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมฟังหนูบ ้าง
หนูหวังว่าเราคงจะได้คืนดีกันนะคะ หนูรักแม่คะ’ หยาดน้ำตาหยดลงในกระดาษหน้าสุดท้ายที่เขียนด้วยลายมือที่สวยงาม

นัทสงสารแม่มากจึงเข้ากอดแม่ด้วยความรัก แต่แล้วสายตาก็หันไปเห็นผ้าห่มที่ถูกฉีกขาดออก กองอยู่ข้าง ๆ เตียง
“เอ๊ะ! นี่มันของขวัญที่พี่ถักให้แม่นี่ครับ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ เห็นพี่บอกว่าถักตั้งแต่ ม.4” นัทหยิบขึ้นมา
แม่ก็หันไปมองแล้วก็นึกถึงวันที่ตนเข้ามาต่อว่าลูกสาวแล้วฉีกผ้าชิ้นนี้ ด้วยความโมโห
จึงดึงผ้ามาจากมือนัทแล้วซบหน้าลงกับผ้าผืนนั้น “แม่ขอโทษ...น้ำ”
เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำที่พร่ำบอกอย่างเบา ๆ

เรื่องจากเวปไซด์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพ