ครอบครัว อบอุ่นด้วยรัก

ครอบครัว สดใสเปี่ยมความหวัง

ครอบครัว เปี่ยมสุขงดงาม

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์

หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 8 กรกฎาคม 2548

น้องสาวคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่พ่อจากไปตั้งแต่แม่ยังสาว และน้องๆ ของเธอยังเยาว์วัย เป็นการจากไปอย่างกะทันหัน มิได้มีการเตรียมตัว ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแม่ซึ่งเป็นภริยา ไม่ว่าจะเป็นในด้านของลูกๆ ซึ่งล้วนได้รับความอบอุ่นจากพ่อเป็นอย่างดี

ในเบื้องแรกทุกคนจึงเกิดความเคว้งคว้างไม่แน่ใจ แต่ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม่ซึ่งเป็นคนทำงานหนักมาโดยตลอดก็ปรับตัวได้ เป็นการปรับตัวโดยการดำรงสถานะที่ควบทั้งความเป็นแม่ และความเป็นพ่อไปด้วยในขณะเดียวกัน น่ายินดีที่ลูกทุกคนสมองดี ขยันขันแข็งและเรียนเก่ง ในฐานะลูกสาวคนโต เธอกับแม่จึงมีความเข้าใจกันอย่างเป็นเอกภาพ เข้าใจในความเสียสละของแม่ เข้าใจว่าตนเองต้องเสียสละเพื่อน้องอีกหลายคน เข้าใจและตระหนักว่าตนเองจะต้องเป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของน้องๆ

ความเข้าใจนี้ในเบื้องต้นเป็นเรื่องดี แต่ในท่ามกลางการเติบใหญ่ของเธอ และการร่วงโรยลงเป็นลำดับของแม่ ก็เกิดความแปรเปลี่ยนในทางความคิดกระทั่งกลายเป็นความขัดแย้ง เป็นความขัดแย้งในลักษณะที่ช่วงชิงการนำภายในบ้าน น่ายินดีที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งในหมู่พวกเดียวกัน เป็นความขัดแย้งที่ไม่มีลักษณะปรปักษ์ เป็นความขัดแย้งที่สามารถประนีประนอมกันได้

ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างน้องสาวคนนั้นซึ่งเป็นลูกสาวคนโตกับแม่เกิดขึ้น เพื่อนคนหนึ่งมักเสนอแนะให้เธอกลับไปง้อขอคืนดีกับแม่ คำพูดที่ติดปากก็คือ "โชคดีนะที่เธอยังมีแม่อยู่" ที่พูดเช่นนี้เพราะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นกำพร้า แม่ของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว พ่อของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว เพื่อนคนนั้นมีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างไปจากน้องสาวคนนั้นเป็นอย่างมาก มองจากพื้นฐานของเพื่อนคนนั้น การดำรงอยู่ของน้องสาวคนนั้น ย่อมอบอุ่นกว่า เพราะว่าน้องสาวคนนั้นยังมีแม่อยู่ มีแม่อยู่อันเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร อย่างน้อยเมื่อประสบกับปัญหาในชีวิต ไม่ว่าปัญหาในเรื่องส่วนตัวหรือปัญหาในเรื่องการทำงาน ก็ยังมีแม่อยู่บ้าน แม่ที่พร้อมจะเปิดใจรับฟังปัญหาของลูก แม่ที่พร้อมจะอ้าแขนโอบกอดให้ความอบอุ่น แม่ที่พร้อมจะเอ่ยปากให้กำลังใจลูกให้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไป นี่ย่อมต่างไปจากคนที่เมื่อกลับบ้านไป ไม่มีทั้งพ่อและแม่รออยู่ มีความว้าเหว่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วไม่มีทั้งพ่อและแม่รออยู่ และคอยถามว่า "เหนื่อยไหมลูก" รออยู่และคอยถามว่า "กินข้าวมาแล้วหรือยังลูก" รออยู่และเฝ้ามองด้วยความห่วงหาอาทร

คนที่มีพ่อมีแม่รออยู่ย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่ขาดหายไป กระทั่งมองเห็นว่าไร้ค่า ต่อเมื่อไม่มีทั้งพ่อ ต่อเมื่อไม่มีทั้งแม่ รออยู่ที่บ้านอีกนั่นแหละ จึงจะตระหนักในสภาพที่ขาดหายไป และก็จะเริ่มถวิลหาอาวรณ์ เช่นนี้เองกวีนิพนธ์ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า "อนิจจา น่าเสียดาย / ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง / ส่วนที่สูญนั้นลึกซึ้ง / มีน้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์" จึงทรงความหมาย ความหมายในแง่ที่ว่า หากไม่เคยประสบกับความสูญเสียก็จะไม่รู้สึก นั่นก็คือ ไม่รู้สึกว่าในความสูญเสียนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะในความสูญเสียนั้นคือ "น้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์" เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้องสาวคนนั้นกับเพื่อนคนนั้นของเธอ กล่าวได้ว่า น้องสาวคนนั้นอยู่ในฐานะที่สมบูรณ์มากยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะมีแม่คอยให้ความอบอุ่น คอยเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น ที่สำคัญก็คือ เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังมีแม่รออยู่ มือที่อ่อนโยนที่สุดย่อมเป็นมือแห่งความรัก มือที่อบอุ่นที่สุดย่อมเป็นมือแห่งความห่วงหาอาทร จากคนที่รักและห่วงหาอาทร โลกนี้ไม่มืดอย่างแน่นอน หากยังมีคนที่รักเราอยู่โดยรอบ

โลกนี้มีความหวังแจ่มจรัสอย่างแน่นอน หากทุกอย่างเริ่มต้นจากความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในวงแคบภายในครอบครัว หรือความรักในวงกว้างต่อโลกและมนุษยชาติก็ตาม

ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมสว่างไสว งดงามยิ่ง